ศึกษาดูงานที่โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์
โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ เป็นโรงเรียนระดับอนุบาล และประถมศึกษา เดิมนั้นมาจาอาคารสงเคราะห์พิบูลเวศม์ โดยใช้ศาลาฟังธรรม ในอาคารจัดสรรตามดำริของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เปิดทำการสอนวันแรกในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2498 สังกัดแผนกการศึกษาอนุบาล กองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนางพิศวง หัสนันท์เป็นครูใหญ่คนแรก จนต่อมาได้ขยายการศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ได้รับเลือกเป็นโรงเรียนที่จัดกิจกรรมสหกรณ์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2529 และในปี พ.ศ. 2531 โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ได้รับรางวัลโรงเรียนดีเด่น, โรงเรียนที่ได้รับรางวัลพระราชทานระดับประถมศึกษา เป็นต้น
ปัจจุบัน (พ.ศ.2551) โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์มีนักเรียนจำนวน 1,772 คน บุคลากร 102 คนจัดการเรียนการสอนในระดับอนุบาล, ช่วงชั้นที่ 1 - 2, โดยมีห้องเรียน 2 ภาษา และห้องปฏิบัติการทางภาษาและคณิตศาสตร์เต็มรูปแบบอีกด้วย
ประวัติ
โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2498 เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตั้งอยู่ที่ 259/444 ซอยปรีดีพนมยงค์ 13 ถนนสุขุมวิท 71 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10110
โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ ตั้งอยู่ในอาคารสงเคราะห์พิบูลเวศม์ในที่ดินของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ปัจจุบันโอนเป็นการเคหะแห่งชาติ) ซึ่งมีเนื้อที่จำนวน 1 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา พร้อมอาคารตึกชั้นเดียว จำนวน 2 หลัง หลังละ 2 ห้องเรียน (ได้รื้อก่อสร้างเป็นตึกอาคารเรียน 1 และอาคารเรียน 2 ในปัจจุบัน)และ อาคารศาลาทรงไทย 1 หลัง ได้มอบให้กระทรวงศึกษาธิการ เปิดทำการสอนชั้นอนุบาล เมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 โดยตั้งชื่อว่า“โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์” สังกัดแผนการศึกษาอนุบาล กองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2523 โอนมาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษา แห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติการโอนโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2523
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 การเคหะแห่งชาติได้ยกกรรมสิทธิ์ การใช้ที่ดินเพิ่มให้อีก 1 แปลงมีเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 8 ตารางวา ซึ่งติดกับแปลง ที่ดินเดิม (เนื้อที่ 1 ไร่ 2 วา 88 ตารางวา) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ รวมเป็นเนื้อที่ฝืนเดียวกัน รวม 3 ไร่ 2 งาน 76 ตารางวา เพื่อใช้เป็นประโยชน์
สัญลักษณ์ประจำโรงเรียน
- ดอกบัว เป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน เป็นดอกบัวสีชมพูกลางอักษร อ.
- หูกวาง คือต้นไม้ประจำโรงเรียน มีจำนวน 2 ต้น ปลูกที่หน้าอาคาร 1 และอาคาร 2 (ปัจจุบันโดนตัดไปแล้ว)
- พุทธมงคลสารประสิทธิ์ คือพระพุทธรูปประจำโรงเรียน ประดิษฐาน ณ ห้องจริยศึกษา ได้รับมอบจากพระมงคลราชมุนี (สุพจ โชติปาโล) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะ 3 วัดสุทัศน์วราราม ซึ่งสร้างถวายในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 60 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2530
รายนามผู้บริหาร
รายนามผู้บริหาร | ตำแหน่ง | วาระการดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|
นางพิศวง หัสนันท์ | ครูใหญ่ | พ.ศ. 2498 - พ.ศ. 2510 |
นางไพลิน บูรณสัมฤทธิ์ | พ.ศ. 2510 - พ.ศ. 2533 | |
นางฆรณี ธาระวานิช | ผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ | พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2535 |
นายชัยยุทธ บุณย์สวัสดิ์ | ผู้อำนวยการ | 18 ธันวาคม พ.ศ. 2545 - 30 กันยายน พ.ศ. 2548 |
นางอารี ชุ่มเมืองปัก | ผู้อำนวยการโรงเรียน | 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 - 30 กันยายน พ.ศ. 2543 |
นายบัณฑิต พัดเย็น | ผู้อำนวยการโรงเรียน | 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 – 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 |
นายชิงชัย บุษยลาภ ไทยเดช | ผู้อำนวยการโรงเรียน | 1พฤศจิกายน พ.ศ. 2549– 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 |
นายเพชรรัตน์ หิรัญชาติ | ผู้อำนวยการโรงเรียน | 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ถึง ปัจจุบัน |
อาคารและสถานที่
ปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ มีอาคารเรียน 3 หลัง
- อาคารเรียนแบบตึกพิเศษ 3 ชั้น (อาคาร1) จำนวนห้องเรียน 15 ห้องเรียน สร้างด้วยเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2513 จำนวน 1,500,000 บาท
- อาคารเรียนแบบตึกพิเศษ 3 ชั้น (อาคาร2) จำนวน 17 ห้องเรียน สร้างด้วยเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2518 จำนวน 3,000,000 บาท งบประมาณปี พ.ศ. 2519 จำนวน 450,000 บาท
- อาคารเรียนตึกพิเศษ 4 ชั้น (อาคาร3) มีชั้นดาดฟ้าสามารถใช้เป็นที่เรียนกิจกรรมได้ มีห้องเรียน 48 ห้อง สร้างด้วยเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2526-2528 จำนวนเงิน 16,332,000 บาท
ระดับปฐมวัย
- อนุบาล 3 ขวบมีห้องเรียน 3 ห้องเรียน
- อนุบาล 1 มีห้องเรียน 5 ห้องเรียน
- อนุบาล 2 มีห้องเรียน 5 ห้องเรียน
จำนวนบุคลากรทั้งสิ้น 125 คน แยกเป็นฝ่ายบริหาร 1 คน ครู 80 คน ครูชาวต่างชาติ 16 คน
เจ้าหน้าที่ธุรการ 4 คน ลูกจ้างประจำ 8 คนและลูกจ้างชั่วคราว 16 คน
มีนักเรียนทั้งสิ้น 1365 คน
จัดการศึกษา 2 หลักสูตร
- โรงเรียนมาตรฐานสากล World class standard school
- หลักสูตร Mini English program แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับปฐมวัย ชั้นอนุบาล 3 ขวบ อนุบาลปีที่ 1 และอนุบาลปีที่ 2 ระดับปฐมศึกษาปีที่ 1- 6
โรงเรียนมีการนำนวัตกรรมทางการศึกษามาใช้ ได้แก่
- การจัดการเรียนการสอนแนวบูรณาการ การจัดการเรียนการสอนแนวบูรณาการหมายถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่นำความรู้ในศาสตร์ต่างๆมาเชื่อมโยงผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย เน้นการพัฒนาเด็กโดยองค์รวมให้เด็กได้ประยุกต์ใช้ความรู้และประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและมีทักษะในกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือกระทำ
- วอลดอร์ฟ (Waldort) การศึกษาแนวนี้มีความเชื่อว่า โรงเรียน คือ บ้าน ครู คือ แม่ นักเรียน คือ ลูก กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนอนุบาลคือกิจกรรมงานบ้านในชีวิตประจำวันเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนให้เหมาะสม จัดสีในห้อง จัดแสงสว่างให้พอเหมาะสวยงาม เด็กจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยการเลียนแบบ ครูและผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเห็น ข้อดี เด็กมีความพร้อมทุกด้าน ทั้งจิตใจ ร่างกาย และความคิดสร้างสรรค์ที่สำคัญพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างที่เข้าใจการเอื้ออาศัยซึ่งกันและกันของสรรพชีวิตในโลกชอบลงมือทำงานด้วยตนเองและเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี
- Whole Language คือการสอนภาษาให้เด็กต้องเป็นการสอนภาษาที่สื่อความหมายการเรียนแบบนี้สามารถทำได้ดี เพราะในระดับอนุบาลเล็กๆ จะเรียนรู้ผ่านการเล่น ที่สำคัญคุณครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งการพูด ฟัง อ่าน เขียน เด็กจึงจะสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดี เพราะครูเปรียบเสมือนสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กข้อดี ของการเรียนวิธีนี้ คือ จะช่วยปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน รักหนังสือ เป็นการเตรียมความพร้อมเอาไว้ก่อนและสามารถนำไปใช้ได้แม้กระทั่งที่บ้าน หรือในชีวิตประจำวัน
- Project Approach คือแนวคิดการให้เด็กได้ศึกษาลงลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่เขาสนใจ เป็นการสอนแบบโครงการหรือแบบโครงงานเรียนรู้โดยการสืบค้นข้อมูลอย่างลึกใน หัวเรื่องที่เด็กสนใจ
- การอภิปราย
- การศึกษานอกสถานที่ หรืองานในภาคสนาม
- การนำเสนอประสบการณ์เดิม
- การสืบค้น
- การจัดแสดง
กิจกรรมที่จัดให้เด็กปฐมวัยในแต่ละวันมี ดังนี้
- กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
- กิจกรรมสร้างสรรค์
- กิจกรรมเสรี
- กิจกรรมเสริมประสบการณ์
- กิจกรรมกลางแจ้ง
- กิจกรรมเกมการศึกษา
วิธีการประเมิน
การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยควรเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการ โดยวิธีการที่เหมาะสมในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ได้แก่
1.เก็บรวบรวมข้อมูล ครูควรวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลควบคู่กับการจัดประสบการณ์ โดยเป็นการวางแผนล่วงหน้าทั้งนี้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมี ดังนี้
2.วิเคราะห์และจัดทำบันทึกข้อมูลของเด็ก ครูควรนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาวิเคราะห์ และจัดทำบันทึกข้อมูลของเด็ก ทั้งในลักษณะของบันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคล และบันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียน ดังนี้
2.1 บันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคล การทำบันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคลจะช่วยให้ครูรู้จักความสามารถที่แท้จริงของเด็ก
2.2 บันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียน การทำบันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียนช่วยให้ครูรู้ว่าเด็กในห้องเรียนที่รับ ผิดชอบมีความสามารถหรือมีพัฒนาการในแต่ละด้านเป็นอย่างไร
ประเมินพัฒนาการเด็กทั้ง 4 ด้าน
การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยควรเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการ โดยวิธีการที่เหมาะสมในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ได้แก่
1.เก็บรวบรวมข้อมูล ครูควรวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลควบคู่กับการจัดประสบการณ์ โดยเป็นการวางแผนล่วงหน้าทั้งนี้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมี ดังนี้
- การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมหรือคำพูดของเด็ก
- การสนทนากับเด็ก ครูสามารถใช้การสนทนากับเด็กได้ทั้งแบบรายบุคคลและเป็นกลุ่ม อย่างสอดคล้อง
- การเก็บตัวอย่างผลงานที่แสดงความก้าวหน้าของเด็ก เป็นวิธีการที่ครูรวบรวมและจัดระบบตัวอย่างผลงานที่แสดงความก้าวหน้าของเด็ก จากชิ้นงานที่เด็กสร้างขึ้นในกิจวัตรประจำวัน
2.วิเคราะห์และจัดทำบันทึกข้อมูลของเด็ก ครูควรนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาวิเคราะห์ และจัดทำบันทึกข้อมูลของเด็ก ทั้งในลักษณะของบันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคล และบันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียน ดังนี้
2.1 บันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคล การทำบันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคลจะช่วยให้ครูรู้จักความสามารถที่แท้จริงของเด็ก
2.2 บันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียน การทำบันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียนช่วยให้ครูรู้ว่าเด็กในห้องเรียนที่รับ ผิดชอบมีความสามารถหรือมีพัฒนาการในแต่ละด้านเป็นอย่างไร
เครื่องมือที่ใช้
- การบันทึกการสังเกตพฤติกรรมเด็ก ( Observation )
- การสัมภาษณ์ ( Interview )
- การเขียนบันทึกเกี่ยวกับตัวเด็ก (Anecdotes )
- แฟ้มผลงานเด็ก ( Portfolios )
- การใช้แบบประเมินผลพัฒนาการ (Checklists )
- การเขียนบันทึก ( Journal )
- การทำสังคมมิติ ( Sociogram )
หลักการประเมิน
การจัดบรรยากาศภายในห้องเรียน อาคารเรียน และบริเวณโรงเรียนเป็นองค์ประกอบสำหรับการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ การศึกษาแนวนี้มีความเชื่อว่า โรงเรียน คือ บ้าน ครู คือ แม่ นักเรียน คือ ลูก กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนอนุบาลคือกิจกรรมงานบ้านในชีวิตประจำวันเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนให้เหมาะสม จัดสีในห้อง จัดแสงสว่างให้พอเหมาะสวยงาม ผลงานของเด็กต้องนำมาประดับห้องเรียนเสมอ ความ งดงามของธรรมชาติจะปรากฏอยู่ทั้งบริเวณกลางแจ้งและภายในอาคาร มีการนำภาพศิลปะ งานประติมากรรม กลิ่นหอมของธรรมชาติเข้ามาตกแต่ง ทำให้บรรยากาศของโรงเรียนสงบ และอ่อนโยน ภายใต้แนวคิดที่ว่า เด็กวัย 0 - 7 ปี เป็นวัยที่เรียนรู้จากการเลียนแบบ สิ่งที่เด็กเลียนแบบในช่วงนี้จะฝังลึกลงไปในเด็ก หล่อหลอมเด็กทั้งกายและจิตวิญญาณ และฝังแน่นไปจนโต
สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน
บริเวณภายในห้องควรจะเป็นกันเอง และสว่างไสวเพียงพอ ควร มีอ่างล้างมือขนาดใหญ่ที่อยู่ในระดับต่ำพอที่เด็กๆ จะเอื้อมมือถึงระดับน้ำได้ง่าย ลอยเรือลำเล็กๆ หรือ แช่กระดาษวาดเขียนได้ มีช่องเก็บของส่วนตัวของเด็กแต่ละคน มีตู้ขนาดใหญ่สำหรับเก็บวัสดุที่ครูต้องใช้ มีชั้นสำหรับวางอุปกรณ์และของเล่น อาจมีมุมตุ๊กตา มุมงานช่าง มีโต๊ะสำหรับทำกิจกรรมที่มีน้ำหนักเบาที่เคลื่อนย้ายได้ของเล่นที่จัดไว้ เป็นของเล่นที่มีความสมบูรณ์น้อยแต่ชี้ช่องทางในการเล่นได้มาก เช่น ตุ๊กตาที่ไม่ได้วาดหน้าไว้อย่างตายตัว นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อการเลือกใช้สีน้ำ พู่กัน กระดาษ สีเทียน ขี้ผึ้ง ที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะอีกด้วย
- ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้านและนำผลมาพัฒนาเด็ก
- ประเมินเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ
- สภาพการประเมินควรมีลักษณะเช่นเดียวกับกิจกรรมประจำวัน
- ประเมินอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนเลือกใช้เครื่องมือ และจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
- ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการหลากหลายเหมาะกับเด็ก รวมทั้งใช้แหล่งข้อมูลหลายๆด้าน
การจัดบรรยากาศภายในห้องเรียน อาคารเรียน และบริเวณโรงเรียนเป็นองค์ประกอบสำหรับการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ การศึกษาแนวนี้มีความเชื่อว่า โรงเรียน คือ บ้าน ครู คือ แม่ นักเรียน คือ ลูก กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนอนุบาลคือกิจกรรมงานบ้านในชีวิตประจำวันเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนให้เหมาะสม จัดสีในห้อง จัดแสงสว่างให้พอเหมาะสวยงาม ผลงานของเด็กต้องนำมาประดับห้องเรียนเสมอ ความ งดงามของธรรมชาติจะปรากฏอยู่ทั้งบริเวณกลางแจ้งและภายในอาคาร มีการนำภาพศิลปะ งานประติมากรรม กลิ่นหอมของธรรมชาติเข้ามาตกแต่ง ทำให้บรรยากาศของโรงเรียนสงบ และอ่อนโยน ภายใต้แนวคิดที่ว่า เด็กวัย 0 - 7 ปี เป็นวัยที่เรียนรู้จากการเลียนแบบ สิ่งที่เด็กเลียนแบบในช่วงนี้จะฝังลึกลงไปในเด็ก หล่อหลอมเด็กทั้งกายและจิตวิญญาณ และฝังแน่นไปจนโต
สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน
บริเวณภายในห้องควรจะเป็นกันเอง และสว่างไสวเพียงพอ ควร มีอ่างล้างมือขนาดใหญ่ที่อยู่ในระดับต่ำพอที่เด็กๆ จะเอื้อมมือถึงระดับน้ำได้ง่าย ลอยเรือลำเล็กๆ หรือ แช่กระดาษวาดเขียนได้ มีช่องเก็บของส่วนตัวของเด็กแต่ละคน มีตู้ขนาดใหญ่สำหรับเก็บวัสดุที่ครูต้องใช้ มีชั้นสำหรับวางอุปกรณ์และของเล่น อาจมีมุมตุ๊กตา มุมงานช่าง มีโต๊ะสำหรับทำกิจกรรมที่มีน้ำหนักเบาที่เคลื่อนย้ายได้ของเล่นที่จัดไว้ เป็นของเล่นที่มีความสมบูรณ์น้อยแต่ชี้ช่องทางในการเล่นได้มาก เช่น ตุ๊กตาที่ไม่ได้วาดหน้าไว้อย่างตายตัว นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อการเลือกใช้สีน้ำ พู่กัน กระดาษ สีเทียน ขี้ผึ้ง ที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะอีกด้วย
สภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน
บริเวณกลางแจ้งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นสนามเด็กเล่นอยู่ติดกับตัวอาคาร โดยจัดให้ใช้ได้ในสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย พื้นผิวควรแข็งเพื่อให้แห้งเร็วเมื่อฝนตก ควรตั้งอยู่ทางด้านที่แดดส่องถึง เพื่อให้เด็กๆ ได้รับแสงแดดยามเช้า บ่อทรายควรอยู่บริเวณนี้ ไม้เลื้อยบนกำแพง ต้นไม้ และแปลงดอกไม้ช่วยให้บริเวณนี้เป็นสถานที่ที่น่าสบายสำหรับเด็กๆ ส่วนที่สองอยู่ห่างจากตัวอาคารใช้เป็นที่เล่นและออกกำลังกาย ควรจัดเป็นอาณาจักรสำหรับเด็ก ทำทางสำหรับรถเข็นและทางสำหรับเดิน โดยออกแบบทางเดินให้โค้งไปมาน่าเดินและผ่านจุดที่น่าสนใจ เนินเขาเป็นจุดเสริมที่มีคุณค่ามากในสนามเด็กจะได้วิ่งขึ้นและลงเป็นการใช้ กล้ามเนื้อหลายส่วนอย่างเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของพื้นที่เป็น ที่ตั้งของชิงช้า ไม้ลื่น ต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ และปลูกไม้ดอกหรือพืชผักสวนครัว
สื่อ เป็นสื่อที่ทำจากไม้ สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ
บริเวณกลางแจ้งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นสนามเด็กเล่นอยู่ติดกับตัวอาคาร โดยจัดให้ใช้ได้ในสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย พื้นผิวควรแข็งเพื่อให้แห้งเร็วเมื่อฝนตก ควรตั้งอยู่ทางด้านที่แดดส่องถึง เพื่อให้เด็กๆ ได้รับแสงแดดยามเช้า บ่อทรายควรอยู่บริเวณนี้ ไม้เลื้อยบนกำแพง ต้นไม้ และแปลงดอกไม้ช่วยให้บริเวณนี้เป็นสถานที่ที่น่าสบายสำหรับเด็กๆ ส่วนที่สองอยู่ห่างจากตัวอาคารใช้เป็นที่เล่นและออกกำลังกาย ควรจัดเป็นอาณาจักรสำหรับเด็ก ทำทางสำหรับรถเข็นและทางสำหรับเดิน โดยออกแบบทางเดินให้โค้งไปมาน่าเดินและผ่านจุดที่น่าสนใจ เนินเขาเป็นจุดเสริมที่มีคุณค่ามากในสนามเด็กจะได้วิ่งขึ้นและลงเป็นการใช้ กล้ามเนื้อหลายส่วนอย่างเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของพื้นที่เป็น ที่ตั้งของชิงช้า ไม้ลื่น ต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ และปลูกไม้ดอกหรือพืชผักสวนครัว
สื่อ เป็นสื่อที่ทำจากไม้ สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ
***รูปแบบการเรียนการสอนแบบเคลื่อนไหวและจังหวะ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น